NSO การค้นหารวมในเว็บไซต์
0

หน้าแรก / สำมะโนประชากรและเคหะ

การสำรวจโดยการแจงนับจากทุกหน่วยที่เกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554) ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลของสิ่งที่สนใจทั้งหมดทั่วประเทศ เช่น คน ที่อยู่อาศัย การเกษตร การทำประมง ธุรกิจการค้า

แม้ว่าปัจจุบันจะมีข้อมูลจำนวนประชากรจากทะเบียนราษฎร แต่สำมะโนประชากรและเคหะ ยังคงมีความจำเป็น เนื่องจาก:

1️. ข้อมูลจากทะเบียนราษฎรอาจไม่สะท้อนการกระจายตัวของประชากรที่แท้จริง

    * ประชากรบางส่วนไม่ได้อยู่อาศัยในที่อยู่ที่ระบุไว้ในทะเบียนราษฎร เช่น นักเรียน คนทำงานที่ย้ายถิ่น หรือแรงงานข้ามจังหวัด

    * สำมะโนช่วยให้เห็นภาพรวมที่แท้จริงของการกระจายตัวประชากร และสามารถใช้ในการวางแผนบริการสาธารณะในแต่ละพื้นที่

2️. การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต้องอาศัยข้อมูลประชากรที่ถูกต้อง ณ สถานที่อยู่อาศัยจริง

    * ข้อมูลสำมะโนให้รายละเอียดเกี่ยวกับ โครงสร้างอายุ การศึกษา และที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายสาธารณะ

    * ภาครัฐสามารถใช้ข้อมูลเพื่อ วางแผนจัดสรรงบประมาณและทรัพยากร ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่

3️. มาตรฐานสากลแนะนำให้ทุกประเทศทำสำมะโนทุก 10 ปี

    * องค์การสหประชาชาติ (UN) แนะนำให้ประเทศต่าง ๆ จัดทำสำมะโนประชากรและเคหะทุก 10 ปี โดยเฉพาะในปีที่ลงท้ายด้วย "0" เช่น ปี 2000, 2010, 2020

    * เพื่อให้สามารถ เปรียบเทียบข้อมูลประชากรระหว่างประเทศ และใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเชิงนโยบายทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

สำมะโนประชากรและเคหะเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานที่ช่วยให้รัฐบาลสามารถวางแผนพัฒนาประเทศได้อย่างแม่นยำ ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร และ สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคม ซึ่งทะเบียนราษฎรเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถตอบโจทย์นี้ได้ทั้งหมด

    * ปี พ.ศ. 2448 ประเทศไทยเริ่มต้นการนับจำนวนประชากรครั้งแรกในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 การเก็บข้อมูลในครั้งนั้นเรียกว่า “บัญชีพลเมือง” 
    * ปี พ.ศ. 2452 กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรในรูปแบบของ สำมะโนประชากร การสำรวจในช่วงแรกเรียกว่า “สำมะโนครัว
    * ปี พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เริ่มดำเนินการเก็บข้อมูลจำนวนและจัดทำทุก 10 ปี เรียกว่า “สำมะโนประชากร” ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 ได้จัดทำ “สำมะโนเคหะ” ควบคู่ด้วย จึงเรียกว่า สำมะโนประชากรและเคหะ

    * ข้อมูลประชากรจากทะเบียนราษฎร แสดงจำนวนประชากรไทยและไม่ใช่สัญชาติไทยที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน และทะเบียนบ้านกลาง ซึ่งประชากรที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอาจไม่ได้อาศัยอยู่จริง ณ ช่วงเวลานั้น 
    * ข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะแสดงจำนวนประชากรไทยและไม่ใช่สัญชาติไทยที่มีชื่อและไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ซึ่งอาศัยตามที่อยู่จริง ณ ช่วงเวลานั้น

ในปี พ.ศ. 2568 สำนักงานสถิติแห่งชาติกำหนดวันสำมะโนประชากรและเคหะ คือวันที่ 1 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นเสมือนการฉายภาพนิ่ง ณ วันสำมะโน (วันที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นเวลาอ้างอิง) เพื่อแสดงภาพว่า ณ วันสำมะโน ประเทศไทยมีประชากรเท่าใด อยู่ที่จังหวัด/อำเภอ/ตำบลใด เป็นชาย/หญิง เด็ก/คนทำงาน/คนแก่ คนพิการเท่าใด มีการศึกษาระดับไหน มีผู้รู้หนังสือมากน้อยเพียงใด คนในวัยทำงานมีงานทำหรือไม่ ที่ใดมีผู้ย้ายถิ่นเข้า/ออก เป็นต้น

การเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรผ่านสำมะโนช่วยให้รัฐบาลสามารถวางแผนและดำเนินนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ครอบคลุม และทั่วถึง ตัวอย่างเช่น:
    * การพัฒนาสาธารณูปโภคที่เพียงพอและได้มาตรฐาน
ประชาชนจะได้รับบริการที่จำเป็น เช่น ที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม การเข้าถึงน้ำประปาและไฟฟ้า ระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก และการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน
    * การเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมกัน
เด็กทุกคนจะมีโอกาสได้รับ การศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพ โดยรัฐสามารถวางแผนจัดสรรทรัพยากรด้านการศึกษาให้เหมาะสมกับจำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่
    * การดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม
ระบบสาธารณสุขสามารถจัดเตรียม วัคซีนและบริการทางการแพทย์ที่เพียงพอ สำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย รวมถึงแผนดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง
    * การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพ
ประชาชนวัยทำงานสามารถเข้าถึง โอกาสการจ้างงาน การฝึกอบรมทักษะ และมาตรการส่งเสริมอาชีพ ที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดแรงงานในแต่ละพื้นที่
    * สวัสดิการที่ทั่วถึงและเป็นธรรม
ผู้สูงอายุ คนพิการ และกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ จะได้รับ การสนับสนุนด้านสวัสดิการที่เพียงพอ เช่น บริการด้านสุขภาพ การช่วยเหลือทางการเงิน และโครงการสังคมสงเคราะห์
การสำมะโนประชากรจึงไม่ใช่แค่การเก็บข้อมูลเท่านั้น แต่เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำให้ ทุกคนได้รับการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน 

สำมะโนประชากรและเคหะถามคำถาม 2 กลุ่มคือ
    1.ข้อถามประชากร ได้แก่ ชื่อ นามสกุล ความเกี่ยวพันกับหัวหน้าครัวเรือน เพศ อายุ สัญชาติ การศึกษา การทำงาน การมีชื่อในทะเบียนบ้าน และการย้ายถิ่น
    2.ข้อถามเคหะ ได้แก่ ประเภทและลักษณะที่อยู่อาศัย การครอบครองที่อยู่อาศัยและที่ดิน และจำนวนสมาชิกในครัวเรือน
สำนักงานสถิติแห่งชาติจะไม่สอบถามข้อมูล เลขบัตรประชาชน เลขที่บัญชีธนาคาร เงินเดือนหรือรายได้ของประชาชน และไม่เกี่ยวข้องกับการเก็บภาษี

พนักงานเก็บรวบรวมข้อมูล (คุณมาดี) จะมีบัตรประจำตัว เพื่อแสดงว่าได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ปฏิบัติงานเก็บรวบรวมข้อมูล หากไม่มั่นใจสามารถติดต่อสำนักงานสถิติแห่งชาติเพื่อตรวจสอบได้

สำนักงานสถิติแห่งชาติให้ความสำคัญสูงสุดกับ ความปลอดภัยและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทั้งในเชิงองค์กรและเชิงเทคนิคที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเป็นไปตามข้อกำหนดของ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
    * มาตรการด้านความปลอดภัยของข้อมูล:
จำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล – ข้อมูลจะถูกเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายและมีความจำเป็นในการใช้ข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เท่านั้น
    * ใช้เทคโนโลยีการปกป้องข้อมูลขั้นสูง – เช่น การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption), ระบบควบคุมการเข้าถึง (Access Control) และมาตรการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์
    * ดำเนินงานตามหลักจริยธรรมและข้อบังคับทางกฎหมาย – ข้อมูลของประชาชนจะถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางสถิติเท่านั้น และ ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ 

ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจะถูกเก็บรักษาเป็นความลับ และนำเสนอผลในลักษณะภาพรวมเท่านั้นโดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในระดับบุคคลหรือข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนได้