ปิรามิดประชากร

นับถอยหลัง "สำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2568"
วัน : ชั่วโมง : นาที : วินาที
กำลังโหลด...
ร่วมใจให้ข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะครั้งแรกในรูปแบบดิจิทัล
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568
สำมะโนประชากรและเคหะ
วัตถุประสงค์
การนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์
ขอบข่ายและคุ้มรวม
บทนิยาม
แบบสอบถาม
คาบการเก็บรวบรวมข้อมูล
สื่อประชาสัมพันธ์
ประวัติ
สำนักงานสถิติแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ. 2550 ในการจัดทำสำมะโนหรือการสำรวจตัวอย่าง และอำนวยการให้มีการสำรวจด้านต่าง ๆ ของประเทศ ซึ่งสำมะโนประชากรและเคหะเป็นโครงการสำมะโนที่ใหญ่ที่สุด โดยเริ่มดำเนินการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2503 และต่อมาในปี พ.ศ. 2513, 2523, 2533, 2543 และ 2553 ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา มีการจัดทำสำมะโนเคหะควบคู่กับสำมะโนประชากร สอดคล้องกับข้อเสนอแนะขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ให้มีการจัดทำสำมะโนทุก 10 ปี เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างประเทศได้ ในปี พ.ศ. 2563 สถานการณ์โควิด-19 ทำให้โครงการสำมะโนประชากรและเคหะต้องเลื่อนออกไปตามมติของคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2563
ความท้าทายของวิธีการสำรวจแบบดั้งเดิม
การเก็บข้อมูลด้วยวิธีดั้งเดิม (Traditional Census) โดยการสัมภาษณ์ข้อมูลจากประชาชนโดยตรง (Face-to-Face Interview) ต้องใช้ทรัพยากรบุคคล เวลา และงบประมาณสูง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เช่น การโจรกรรมข้อมูล การขู่กรรโชก และการหลอกลงทุน ส่งผลให้ประชาชนวิตกกังวลและลดความร่วมมือในการให้ข้อมูล นอกจากนี้ ยังมีความไม่มั่นใจในระบบความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลจากภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น หลายประเทศทั่วโลก เช่น แคนาดา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ปากีสถาน และเกาหลีใต้ ได้ปรับเปลี่ยนไปใช้การสำมะโนแบบดิจิทัล (Digital Census) โดยให้ประชาชนตอบแบบสอบถามผ่านเว็บไซต์ ซึ่งเน้นการใช้งานง่ายและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงมีระบบติดตามเพื่อแจ้งเตือนหรือส่งเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติม
แนวทางการดำเนินงาน
* ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (สำมะโนทดลอง)
สำนักงานสถิติแห่งชาติได้จัดทำโครงการสำมะโนทดลองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (4 แขวง) และ 24 จังหวัด (จังหวัดละ 2 ตำบล) เพื่อทดสอบกระบวนการดำเนินงานและระบบงาน และศึกษาปัญหาและอุปสรรค รวมถึงวิเคราะห์บทเรียน ผลการทดลอง พบว่ามีอัตราการตอบแบบสอบถามออนไลน์เพียง 11.09% ของครัวเรือนในพื้นที่ทดลอง จึงต้องปรับแผนการเก็บข้อมูลโดยยังคงเน้นการตอบแบบสอบถามออนไลน์เป็นลำดับแรก พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติมในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือประชาชนไม่สะดวกตอบแบบสอบถามออนไลน์
* ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
สำนักงานสถิติแห่งชาติเตรียมดำเนินโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบจาก Traditional Census เป็น Digital Census ภายใต้แนวคิด "Digital First Approach" ที่ให้ประชาชนตอบแบบสอบถามออนไลน์เป็นลำดับแรก กรณีที่ประชาชนไม่สะดวกตอบแบบสอบถามออนไลน์ สำนักงานสถิติแห่งชาติจะส่ง “คุณมาดี” ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติลงพื้นที่ และใช้แบบสอบถามกระดาษแล้วจัดเก็บบันทึกข้อมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายหลัง เพื่อให้การสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 สามารถเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ประวัติ
ประเทศไทยเริ่มต้นการนับจำนวนประชากรครั้งแรกในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2448 โดยดำเนินการในพื้นที่เขตบริหาร 12 มณฑล จากทั้งหมด 17 มณฑล ที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย การเก็บข้อมูลในครั้งนั้นเรียกว่า “บัญชีพลเมือง” ซึ่งเก็บข้อมูล เพศ (ชาย/หญิง) อายุ และชาติพันธุ์
การพัฒนาสู่สำมะโนประชากร
ต่อมาในปี พ.ศ. 2452 กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรในรูปแบบของ สำมะโนประชากร เป็นครั้งแรก และจัดเก็บเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2462 พ.ศ. 2472 พ.ศ. 2480 พ.ศ. 2490 การสำรวจนี้ในช่วงแรกเรียกว่า “สำมะโนครัว”
การดำเนินงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
สำนักงานสถิติแห่งชาติเริ่มดำเนินการสำมะโนประชากรครั้งแรกในปี พ.ศ. 2503 และดำเนินการทุก 10 ปี ได้แก่ พ.ศ. 2503 พ.ศ. 2513 พ.ศ. 2523 พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2543 ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา สำนักงานสถิติแห่งชาติได้ดำเนินการจัดทำ สำมะโนเคหะ ควบคู่กับการทำ สำมะโนประชากร เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะการอยู่อาศัยของประชาชน ซึ่งสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2553 มีความสำคัญ ดังนี้
• เป็นปีที่ดำเนินการ สำมะโนเคหะครั้งที่ 5 และ สำมะโนประชากรครั้งที่ 11
• ตรงกับวาระ ครบรอบ 100 ปีสำมะโนประชากรประเทศไทย
ความหมาย
สำมะโนประชากรและเคหะ หมายถึง การเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลเชิงสถิติที่เกี่ยวข้องกับ:
• บุคคลทุกคนในครัวเรือน หมายถึง กลุ่มบุคคลที่อยู่ร่วมกันในหน่วยเดียวกัน
• ข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย ของครัวเรือนเหล่านั้น
การสำมะโนดำเนินการโดยการแจงนับครัวเรือนในทุกท้องที่ที่อยู่ในข่ายการสำรวจ และบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ตามแผนงานสำมะโน ณ วันที่กำหนด ซึ่งในครั้งนี้กำหนดให้วันที่ 1 เมษายน 2543 เป็นวันสำมะโนประชากรและเคหะ
ความเป็นมา
1. การจัดทำสำมะโนประชากรครั้งแรก (พ.ศ. 2452 - พ.ศ. 2490)
• เริ่มต้นใน พ.ศ. 2452 และจัดทำเพิ่มเติมใน พ.ศ. 2462, 2472, 2480 และ 2490
• การสำรวจในช่วงแรกดำเนินการโดย กระทรวงมหาดไทย เพื่อวัตถุประสงค์:
o จัดทำทะเบียนประชากร (หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า ทะเบียนราษฎร)
o ทราบจำนวนประชากรในเขตปกครองท้องที่ต่าง ๆ
o ใช้เป็นข้อมูลในการเลือกตั้ง
2. การรับผิดชอบของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (ตั้งแต่ พ.ศ. 2503)
• เริ่มต้นดำเนินการจัดทำสำมะโนประชากรตั้งแต่ พ.ศ. 2503 โดยอาศัยพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ. 2495
• จัดทำสำมะโนทุก 10 ปี ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ. 2508
การปรับปรุงสำมะโนประชากรและเคหะ
ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา สำนักงานสถิติแห่งชาติได้จัดทำ สำมะโนเคหะ ควบคู่กับการจัดทำ สำมะโนประชากร เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ:
• โครงสร้างประชากร
• ลักษณะการอยู่อาศัย
การสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2543 จึงนับเป็น:
• สำมะโนประชากรครั้งที่ 10
• สำมะโนเคหะครั้งที่ 4
ความสำคัญ
แม้ว่าปัจจุบันจะมีข้อมูลจำนวนประชากรจากทะเบียนราษฎรอยู่แล้ว แต่เหตุผลที่ต้องจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะ คือ:
1. ประชากรจำนวนหนึ่งไม่ได้อยู่อาศัยปกติตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร ฉะนั้นการฉายภาพการกระจายตัวของประชากรในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศอาจไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง
2. การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ต้องคำนึงถึงลักษณะต่าง ๆ ทางประชากร ณ สถานที่อยู่จริง
3. ข้อเสนอแนะขององค์การสหประชาชาติ ให้ประเทศต่าง ๆ จัดทำสำมะโนทุก 10 ปี ในปีคริสต์ศักราชที่ลงท้ายด้วย "0" เช่น 1970, 1980 เพื่อให้ข้อมูลประชากรสามารถเปรียบเทียบระหว่างประเทศได้
ความหมาย
สำมะโนประชากรและเคหะ หมายถึง การเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับ:
• บุคคลทุกคนในครัวเรือน (กลุ่มบุคคลที่อยู่ร่วมกันในหน่วยเดียวกัน)
• ข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย ของครัวเรือนเหล่านั้น
ข้อมูลเหล่านี้จัดเก็บโดยการแจงนับทุกครัวเรือนในทุกท้องที่ที่อยู่ในข่ายการทำสำมะโน และบันทึกข้อมูลตามแผนงานสำมะโน โดยวันสำมะโนประชากรของประเทศไทยถูกกำหนดไว้คือ วันที่ 1 เมษายน 2533
พัฒนาการการสำรวจประชากรในประเทศไทย
1. การเริ่มต้นสำรวจประชากร (พ.ศ. 2452 - พ.ศ. 2472)
• การเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรครั้งแรกในประเทศไทยเริ่มต้นใน พ.ศ. 2452
• ครั้งต่อมาใน พ.ศ. 2462 และ พ.ศ. 2472 การสำรวจเหล่านี้เรียกว่า “ทะเบียนสำมะโนครัว”
• แบบสำรวจถูกจัดเก็บรักษาไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ
2. การทำสำมะโนครัวครั้งที่ 4 (พ.ศ. 2480)
• มีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
• มีการใช้แบบฟอร์มมาตรฐานสากล (ใบกำหนดข้อถาม) เป็นครั้งแรก
3. การทำสำมะโนครัวครั้งที่ 5 (พ.ศ. 2490)
• ดำเนินการในลักษณะเดียวกับปี พ.ศ. 2480 จัดทำโดย กระทรวงมหาดไทย
การจัดทำสำมะโนประชากรโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ
1. การเริ่มต้นจัดทำสำมะโนประชากร (พ.ศ. 2503)
• สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ชื่อเดิม: สำนักงานสถิติกลาง) เริ่มดำเนินการจัดทำสำมะโนประชากรครั้งแรกใน พ.ศ. 2503 ตามพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ. 2495
• ต่อมาได้จัดทำสำมะโนทุก 10 ปี ตามอำนาจหน้าที่ในพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ. 2508
2. การจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะควบคู่กัน (ตั้งแต่ พ.ศ. 2513)
• ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา มีการจัดทำ สำมะโนเคหะ ควบคู่กับสำมะโนประชากร เพื่อให้ได้ข้อมูลทั้งประชากรและลักษณะการอยู่อาศัย
ข้อเสนอแนะจากองค์การสหประชาชาติ
องค์การสหประชาชาติ (United Nations) แนะนำให้ประเทศต่าง ๆ จัดทำสำมะโนประชากรและเคหะทุก 10 ปี ในปีคริสต์ศักราชที่ลงท้ายด้วย “0” (เช่น 1970, 1980)
เป้าหมาย:
• เพื่อให้ข้อมูลสามารถเปรียบเทียบระหว่างประเทศได้
• ส่งเสริมการจัดเก็บข้อมูลให้เป็นมาตรฐานสากล
สำมะโนประชากรและเคหะใน พ.ศ. 2533
• เป็นการทำสำมะโนประชากรครั้งที่ 9 และสำมะโนเคหะครั้งที่ 3
• ดำเนินการโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ
• เป็นการพัฒนาข้อมูลประชากรและที่อยู่อาศัยครั้งสำคัญในประเทศไทย
วัตถุประสงค์
1) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจำนวน โครงสร้างอายุและเพศ การกระจายตัวของประชากร และลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ เช่น เพศ อายุ สัญชาติ ศาสนา การศึกษา สถานภาพสมรส การทำงาน เป็นต้น ของประชากรทุกคนทุกครัวเรือนตามที่อยู่จริงในวันสำมะโน (ไม่คำนึงว่าบุคคลนั้นจะมีชื่อในทะเบียนที่อาศัยอยู่หรือไม่) รวมทั้งจำนวนและลักษณะต่าง ๆ ของที่อยู่อาศัยของประชากร
2) เพื่อให้ได้ข้อมูลโครงสร้างประชากรในการใช้เป็นข้อมูลประชากรฐานสำหรับการจัดทำการคาดประมาณประชากรของประเทศ (Population Projection)
3) เพื่อจัดทำตัวชี้วัดด้านประชากรและที่อยู่อาศัย ในการวัดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของประชากรและที่อยู่อาศัยในรอบ 10 ปี
วัตถุประสงค์
1) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานของประชากร (เพศ อายุ สัญชาติ การศึกษา การทำงาน เป็นต้น) ตามที่อยู่จริง และที่อยู่อาศัย (ประเภท การมีน้ำดื่ม/น้ำใช้ เป็นต้น)
2) เพื่อให้ได้ข้อมูลในระดับพื้นที่ย่อย (หมู่บ้าน อบต. เทศบาล เป็นต้น)
3) เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของประชากรและที่อยู่อาศัยในรอบ 10 ปี
วัตถุประสงค์
เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจำนวน ลักษณะ และโครงสร้างของประชากรทุกคนในทุกครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในประเทศ ณ สถานที่อยู่จริง รวมถึงจำนวนและลักษณะของที่อยู่อาศัยของประชากรทั่วประเทศ
วัตถุประสงค์
1. เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติในรายละเอียด เกี่ยวกับจำนวน ลักษณะ และโครงสร้างของประชากร และที่อยู่อาศัยของประชากรทั่วประเทศ
2. เพื่อให้ได้ข้อมูลมาศึกษาแนวโน้ม และภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านจำนวนประชากร ที่อยู่อาศัย อัตราเกิด อัตราตาย อัตราเพิ่มของประชากร ภาวะเจริญพันธุ์ การศึกษา อาชีพ และการย้ายถิ่นของประชากร
3. เพื่อนำข้อมูลสถิติที่ได้จากการทำสำมะโนไปใช้ในการวางแผนงาน ตรวจสอบ และประเมินผลแผนงานลดอัตราเพิ่มของประชากร ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ภาครัฐ
1) ใช้ในการกำหนดนโยบาย และวางแผนการพัฒนาด้านประชากร สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ของประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น
2) ใช้ในการจัดเตรียมงบประมาณเพื่อจัดหาสาธารณูปโภคและบริการขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ได้ตรงตามความต้องการ และจำเป็นที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่ สอดคล้องกับจำนวนและลักษณะของประชากรตามที่อยู่อาศัยที่แท้จริง
3) ใช้เป็นข้อมูลประชากรฐานในการคาดประมาณจำนวนประชากรของประเทศในอนาคต (Population Projection)
4) ใช้ติดตามประเมินผลแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2560 – 2570)
5) ใช้ในการจัดทำดัชนีชี้วัดด้านประชากรและที่อยู่อาศัย เพื่อศึกษาวิเคราะห์วิจัยต่างๆ
6) ใช้ประโยชน์ในทางสถิติเพื่อจัดทำกรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) สำหรับการสำรวจต่าง ๆ และใช้เป็นฐานร่วมกับการสำรวจ ในการจัดทำตัวชี้วัดต่างๆ
ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา
1) ใช้ข้อมูลพื้นฐานเป็นเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านประชากร เพื่อวางแผน และการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ/ขยายกิจการ การออกแบบผลิตภัณฑ์/บริการ ให้เหมาะสมกับพื้นที่ และประเภทกิจการ รวมทั้งกลุ่มลูกค้าหรือผู้รับบริการเป้าหมาย เช่น ข้อมูลโครงสร้างทางประชากร ความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่เป้าหมาย เป็นต้น
2) นักวิชาการ นักวิจัย และสถาบันการศึกษา ใช้ข้อมูลในการศึกษาวิเคราะห์วิจัยเรื่องในที่เกี่ยวข้อง
ภาคประชาชน
ประชาชนทุกเพศ ทุกกลุ่มวัยได้รับความอยู่ดีมีสุข เป็นผลมาจากนโยบายด้านต่างๆ ของภาครัฐและเอกชนที่วางแผนและดำเนินการได้อย่างเหมาะสม พอเพียงและทั่วถึง เช่น
1) การจัดหาสาธารณูปโภคอย่างเพียงพอและถูกสุขลักษณะ (ที่อยู่อาศัย น้ำประปา/ไฟฟ้า การบริการด้านสาธารณสุขพื้นฐาน รถประจำทาง ที่ทิ้งขยะ ฯลฯ)
2) นโยบายด้านประชากรอย่างที่เหมาะสมครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มวัย เช่น การให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดเตรียมวัคซีนสำหรับเด็กแต่ละวัยอย่างเพียงพอ การสร้างเสริมอาชีพและสวัสดิการสำหรับประชากรวัยทำงาน การจัดสวัสดิการให้เพียงพอกับกลุ่มคนด้อยโอกาสต่าง ๆ (คนชรา คนพิการ) เป็นต้น
ข้อมูลจำนวนประชากรและโครงสร้างของประชากรตามที่อยู่จริง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ดังนี้
ภาครัฐ
1. ใช้ในการกำหนดนโยบายและวางแผนด้านประชากร เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม
2. จัดเตรียมงบประมาณเพื่อจัดหาสาธารณูปโภคและบริการขั้นพื้นฐานต่างๆ ได้ตรงตามความต้องการหรือตามความจำเป็นของแต่ละท้องถิ่น (หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด) อาทิเช่น
- การจัดหาสาธารณูปโภคให้เพียงพอและถูกสุขลักษณะ (ที่อยู่อาศัย น้ำ/ไฟ การบริการสาธารณสุข รถประจำทาง ที่ทิ้งขยะ ฯลฯ)
- การจัดจำนวนโรงเรียน/ครูให้เพียงพอและเหมาะสม โดยมีเป้าหมายคือให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
- การจัดเตรียมวัคซีนสำหรับเด็กแต่ละวัยให้เพียงพอ
- การจัดสวัสดิการให้เพียงพอกับคนด้อยโอกาส (คนชรา คนพิการ)
- พื้นที่ที่มีแรงงานต่างด้าวอยู่หนาแน่นหรือแออัด จำเป็นจะต้องมีการบริหารจัดการด้านแรงงานให้เหมาะสมและต้องจัดบริการสาธารณสุขให้เพียงพอ เพื่อป้องกันโรคระบาด/โรคติดต่อบางประเภทที่หายไปแล้วในประเทศไทย แต่มีโอกาสกลับมาใหม่กับแรงงานต่างด้าว
- ข้อมูลโครงสร้างของประชากรตามที่อยู่จริง จะใช้เป็นฐานในการจัดแผนยุทธศาสตร์จังหวัด โดยในการจัดทำ GPP นั้นจำเป็นต้องใช้จำนวนประชากรที่ถูกต้องครบถ้วนในระดับจังหวัด และในการคำนวณตัวชี้วัดที่แสดงผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการในจังหวัดได้อย่างถูกต้องนั้น ต้องใช้จำนวนประชากรจริงเป็นตัวหาร เช่น รายได้เฉลี่ยต่อหัว อัตราการมารับบริการด้านต่างๆ เป็นต้น
3. ใช้เป็นฐานในการคาดประมาณประชากรในอนาคต (Population Projection)
4. ใช้ในการประเมินผลแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 - พ.ศ.2554) และใช้จัดเตรียมแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - พ.ศ. 2559)
5. ใช้เป็นกรอบในการเลือกตัวอย่าง (Sampling Frame) สำหรับการสำรวจในรายละเอียดเฉพาะเรื่องด้านประชากร/สังคม
6. ใช้เป็นฐานร่วมกับการสำรวจต่างๆ เช่น การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในการจัดทำตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น แผนที่ความยากจน (Poverty Mapping) แผนที่ผู้หิวโหย (Hunger Mapping)
ภาคเอกชน
ใช้ข้อมูลความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่ต่างๆ (ตามเพศ อายุ อาชีพ เป็นต้น) เพื่อประกอบ การตัดสินใจในการทำธุรกิจ เช่น ตั้งร้านค้าหรือขยายกิจการตามลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
ภาคประชาชน
มีความอยู่ดีมีสุข เนื่องจากได้รับบริการจากภาครัฐอย่างเพียงพอและทั่วถึง
ประโยชน์ทางตรง
1. ทราบจำนวนประชากรของประเทศ จำแนกตามลักษณะต่าง ๆได้แก่ เพศ อายุ ศาสนา สัญชาติ ระดับการศึกษา การอ่านออกและเขียนได้ สถานภาพสมรส การทำงานและลักษณะในเชิงเศรษฐกิจ ภาวะเจริญพันธุ์ และการย้ายถิ่น
2. ทราบจำนวนที่อยู่อาศัยของประชากรจำแนกตามลักษณะและประเภทของที่อยู่อาศัยของครัวเรือน การครอบครองที่อยู่อาศัย และการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นที่อยู่ของครัวเรือน แหล่งที่มาของน้ำดื่ม น้ำใช้ ประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการประกอบอาหาร ลักษณะของส้วม เครื่องใช้ประเภทถาวรต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ รถยนต์ เป็นต้น
ประโยชน์ทางอ้อม
1. ข้อมูลที่ได้สามารถนำมาประกอบการพิจารณามาจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเมินและติดตามผลงานโครงการต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
2. ใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบายหรือแก้ไขปัญหาที่สำคัญ ๆ ทางด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคม เช่น การมีงานทำ การศึกษา สวัสดิการของผู้สูงอายุ การย้ายถิ่นของประชากร ภาวะเจริญพันธุ์ ที่อยู่อาศัยของประชากรและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนวางแผนปรับปรุงสาธารณูปโภคและสุขภาพอนามัยของประชาชน
3. ใช้เป็นฐานในการคาดประมาณประชากรในอนาคต เพื่อใช้ในการวางแผนงานต่าง ๆ
4. ใช้ในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับประชากรและเคหะในวงการสถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
5. ใช้เป็นกรอบตัวอย่าง เพื่อการจัดทำโครงการสำรวจต่าง ๆ ทั้งของสำนักงานสถิติแห่งชาติและของหน่วยงานอื่น
6. ใช้ในการวางแผนหรือกำหนดนโยบายในระดับท้องถิ่น
7. การจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน ณ จุดตั้งต้นของศตวรรษที่ 21
ประโยชน์ทางตรง
1. ทราบจำนวนประชากรของประเทศ จำแนกตามลักษณะต่างๆ เช่น เพศ อายุ สถานภาพสมรส ภาวะเจริญพันธุ์ การวางแผนครอบครัว การย้ายถิ่น ระดับการศึกษา การอ่านออกเขียนได้ การทำงาน และลักษณะในเชิงเศรษฐกิจ ขัดมูลเหล่านี้สามารถแสดงผลได้ในระดับท้องถิ่น ซึ่งไม่อาจหาหรือเก็บรวบรวมจากแหล่งอื่นหรือวิธีอื่น
2. ทราบจำนวนที่อยู่อาศัยของประชากร จำแนกตามลักษณะของที่อยู่อาศัย และสถานภาพการอยู่อาศัยของประชากร
3. ได้ทราบความเปลี่ยนแปลงของข้อมูลดังกล่าวข้างต้นในช่วง 10 ปี ที่แล้วมาเป็นรายจังหวัดตลอดจนระดับท้องถิ่น
ประโยชน์ทางอ้อม
1. เพื่อศึกษาและประมาณอัตราเกิด อัตราตาย การเพิ่มของประชากร รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการเตรียมแผนประชากร ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 ต่อไป
2. ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการคาดประมาณจำนวนประชากรในอนาคด เพื่อการวางแผนในระยะยาว
3. ศึกษาวิจัยเรื่องภาวะเจริญพันธุ์ และแนวโน้มของภาวะเจริญพันธุ์ เพื่อใช้ในการประเมินผลการวางแผนครอบครัว
4. ศึกษาวิจัยเรื่องการย้ายถิ่น การกระจายตัวของประชากร และผลกระทบของการย้ายถิ่น
5. ศึกษาภาวะการทำงาน การมีงานทำและการพัฒนากำลังคน
6. ใช้ในการวางแผนบริหารงานของหน่วยราชการต่าง ๆ และเอกชน
7. ใช้เป็นกรอบในการวางแผนงานสำรวจ และสำมะโนอื่น ๆ
1. คุ้มรวมประชากร
1.1) ประชากรที่อยู่ในคุ้มรวม ได้แก่
● คนไทยทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในวันสำมะโน
● คนที่มีสถานที่อยู่ปกติในประเทศไทยแต่วันสำมะโนได้ไปฝึกภาคซ้อมรบ เดินเรือทะเล หรือไปต่างประเทศชั่วคราว
● ข้าราชการฝ่ายพลเรือนและทหาร รวมทั้งคณะทูตของประเทศไทย พร้อมทั้งครอบครัว ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในต่างประเทศ
● บุคคลพลเรือนต่างด้าวที่มีสถานที่อยู่ปกติในประเทศไทย หรือบุคคลพลเรือนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราวเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป นับถึงวันสำมะโน
1.2) ประชากรที่ไม่ได้อยู่ในคุ้มรวม ได้แก่
● เจ้าหน้าที่ทูตและทหารของต่างประเทศพร้อมทั้งครอบครัว ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย
● บุคคลพลเรือนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราวเป็นระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน นับถึงวันสำมะโน
● ผู้อพยพหรือผู้หลบหนีเข้าเมือง ซึ่งอยู่ในค่ายอพยพที่รัฐบาลกำหนด
2. คุ้มรวมเคหะ ได้แก่ สถานที่ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรทุกแห่งทั่วประเทศ (บ้าน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง ทุกประเภท) ที่อยู่ในคุ้มรวมของการแจงนับประชากร
1. คุ้มรวมประชากร
1.1 คนไทยทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในวันสำมะโน (1 กันยายน 2553)
1.2 ข้าราชการฝ่ายทหาร/พลเรือน/คณะทูตของไทยพร้อมครอบครัว ซึ่งมีสำนักงานอยู่ต่างประเทศ
1.3 คนต่างชาติ/ต่างด้าว ที่อยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปนับถึงวันสำมะโน
1.4 คนไทย/ต่างชาติ/ต่างด้าวที่มีสถานที่อยู่ปกติในประเทศไทยแต่ในวันสำมะโนได้ไปต่างประเทศ ชั่วคราว
ไม่รวม
- เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ทหารและทูตต่างประเทศพร้อมทั้งครอบครัว ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย
- คนต่างชาติ/ต่างด้าว ผู้ซึ่งเข้ามาอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 3 เดือน นับถึงวันสำมะโน
- ผู้อพยพหรือผู้หลบหนีเข้าเมืองซึ่งอยู่ในค่ายอพยพที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
2. คุ้มรวมเคหะ
สถานที่ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรทุกแห่งทั่วประเทศ อาทิเช่น บ้าน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง ที่สาธารณะ ห้องภายในสำนักงาน ใต้สะพาน เป็นต้น
คุ้มรวม หมายถึง ขอบข่ายของการทำสำมะโน ซึ่งวางไว้เพื่อกำหนดประเภทของประชากรว่า ประชากรประเภทใดบ้างที่จะต้องถูกแจงนับและประชากรประเภทใดบ้างที่ไม่ต้องถูกแจงนับ
1. ประชากรที่อยู่ในคุ้มรวม คือ
(1) คนไทยทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในวันสำมะโน (1 เมษายน 2543)
(2) บุคคลพลเรือนต่างด้าวที่มีสถานที่อยู่ปกติในประเทศไทย หรือบุคคลพลเรือนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปก่อนวันสำมะโน
(3) บุคคลที่มีสถานที่อยู่ปกติในประเทศไทย แต่ในวันสำมะโนได้ไปศึกษา ฝึกภาคซ้อมรบ เดินเรือทะเล หรือไปต่างประเทศชั่วคราว
(4) ข้าราชการฝ่ายทหาร พลเรือน และรวมทั้งคณะทูตของประเทศไทย พร้อมทั้งครอบครัวซึ่งมีสำนักงานอยู่ในต่างประเทศ
2. ประชากรที่ไม่อยู่ในคุ้มรวม คือ
(1) ชาวเขาที่มีที่อยู่อาศัยไม่เป็นที่ (ถ้าตั้งเป็นหมู่บ้านแล้วอยู่ในคุ้มรวมด้วย)
(2) คณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและการทูตต่างประเทศพร้อมทั้งครอบครัว ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย
(3) บุคคลพลเรือนต่างด้าว ซึ่งเข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว เป็นระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนก่อนวันสำมะโน (เข้ามาอยู่หลังวันที่ 1 มกราคม 2543)
(4) ผู้อพยพหรือผู้หลบหนีเข้าเมืองซึ่งอยู่ในค่ายอพยพที่รัฐบาลกำหนดให้อยู่
3. คุ้มรวมเคหะ
คุ้มรวมที่อยู่อาศัยของครัวเรือนส่วนบุคคลทุกครัวเรือน ที่อยู่ในขอบข่ายการแจงนับประชากร
คุ้มรวม หมายถึง ขอบข่ายของการทำสำมะโน ซึ่งวางไว้เพื่อกำหนดประเภทของประชากรว่า ประชากรประเภทใดบ้างที่จะต้องถูกแจงนับ และประชากรประเภทใดบ้างที่ไม่ต้องถูกแจงนับ
การคุ้มรวมของสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2533 ได้กำหนดไว้ ดังนี้
1. ประชากรที่อยู่ในการคุ้มรวม คือ
(1) คนไทยทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ในวันสำมะโน (1 เมษายน 2533)
(2) บุคคลพลเรือนต่างด้าวที่มีสถานที่อยู่ปกติในประเทศไทย หรือบุคคลพลเรือนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปก่อนวันสำมะโน
(3) บุคคลที่มีสถานที่อยู่ปกติในประเทศไทย แต่ในวันสำมะโนได้ไปศึกษา ฝึกพลซ้อมรบ เดินเรือทะเล หรือไปต่างประเทศชั่วคราว
(4) ข้าราชการฝ่ายทหาร พลเรือน และรวมทั้งคณะทูตของประเทศไทยพร้อมทั้งครอบครัวซึ่งมีสำนักงานอยู่ในต่างประเทศ
2. ประชากรที่ไม่อยู่ในการคุ้มรวม คือ
(1) ชาวเขาที่มีที่อยู่อาศัยไม่เป็นที่ (ถ้าตั้งเป็นหมู่บ้านแล้วอยู่ในการคุ้มรวมด้วย)
(2) คณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและการทูตต่างประเทศ พร้อมทั้งครอบครัวซึ่งมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย
(3) บุคคลพลเรือนต่างด้าว ซึ่งเข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว เป็นระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนก่อนวันสำมะโน (มาหลังวันที่ 1 มกราคม 2533)
(4) ผู้อพยพหรือผู้หลบหนีเข้าเมือง ซึ่งอยู่ในค่ายอพยพที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3 การคุ้มรวมเคหะ
คุ้มรวมที่อยู่อาศัยของครัวเรือนส่วนบุคคลทุกครัวเรือน ที่อยู่ในขอบข่ายการแจงนับประชากร
ภาคประชากร
ครัวเรือน หมายถึง บุคคลคนเดียวหรือหลายคนอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันหรือบ้านหลายหลัง โดยบุคคล เหล่านั้นจัดหาหรือใช้สิ่งอุปโภค บริโภค อันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน
ประเภทของครัวเรือน
1. ครัวเรือนส่วนบุคคล หมายถึง ครัวเรือนของบุคคลทั่วไป ซึ่งอาจประกอบด้วยบุคคลคนเดียวหรือหลายคน อาศัยอยู่ในบ้าน/อาคาร/สิ่งปลูกสร้างหรือสถานที่อยู่เดียวกันหรือในบริเวณเดียวกัน จัดหาหรือใช้สิ่ง อุปโภค บริโภคอันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน โดยบุคคลเหล่านี้อาจเป็นญาติหรือไม่เป็นญาติกันก็ได้ เช่น ครัวเรือนที่อาศัยอยู่คนเดียว หรือครัวเรือนที่มีพ่อแม่ ลูก อาศัยอยู่รวมกัน หรืออาจมีญาติ คนรับใช้ คนงาน เพื่อน ๆ มาอยู่ด้วย เป็นต้น
2. ครัวเรือนกลุ่มบุคคล หมายถึง ครัวเรือนซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลายคนประเภทเดียวกันมาอยู่รวมกันโดยมีกฎ หรือระเบียบข้อบังคับระบุไว้ให้มาอยู่รวมกัน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
(2.1) ครัวเรือนคนงาน คือ คนงานที่อาศัยอยู่รวมกันในบริเวณโรงงาน หรือในสถานที่ที่นายจ้างเป็นผู้จัดหาที่พักให้อยู่รวมกัน แยกต่างหากจากครัวเรือนนายจ้าง โดยไม่เสียค่าที่พัก และไม่คำนึงว่าจัดหาหรือใช้สิ่งอุปโภค บริโภคอันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน ให้นับ คนงานรวมกันเป็น 1 ครัวเรือน
(2.2) ครัวเรือนสถาบัน ประกอบด้วยบุคคลประเภทเดียวกันมาอยู่รวมกันในสถาบัน ได้แก่
- พระสงฆ์ สามเณร ชี และลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ในวัด สำนักสงฆ์
- นักโทษภายในเรือนจำ หรือ ในทัณฑสถาน
- นักเรียนประจำในโรงเรียนกินนอน (รวม ครูอาจารย์และเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้แยกอยู่เป็นสัดส่วนต่างหาก)
- นักศึกษาที่อยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย เช่น หอพักนักศึกษาแพทย์ หอพักนักเรียนนายร้อย เป็นต้น
- คนที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ (รวม ผู้ดูแลที่ไม่ได้แยกอยู่เป็นสัดส่วนต่างหาก)
- ทหารหรือตำรวจประจำการที่อยู่ในค่าย กรม กอง (รวม นักเรียนทหารหรือตำรวจ, ไม่รวมผู้ที่มีบ้านพักส่วนตัว)
- คนไข้ที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
- คนที่อยู่ในโรงแรม หรือ ในเกสต์เฮ้าส์
- คนที่อยู่ประจำในโรงเจ หรือ มาถือศีล
- ผู้ต้องขังในสถานีตำรวจ
ภาคเคหะ
1. ที่อยู่อาศัยของครัวเรือน หมายถึง สถานที่ที่ครัวเรือนใช้เป็นที่อยู่อาศัย อาจเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน หรือบ้านหลายหลัง ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน รวม พื้นที่สาธารณะที่มีครัวเรือนใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นประจำ
2. ประเภทของที่อยู่อาศัย หมายถึง ลักษณะของสถานที่ที่ครัวเรือนใช้เป็นที่อยู่อาศัยของบุคคลในครัวเรือนเดียวกัน ซึ่งมีหลายลักษณะ
หมายเหตุ เป็นคำนิยามของสำมะโนประชากร พ.ศ. 2568 (สำมะโนทดลองปีงบประมาณ พ.ศ. 2567)
ภาคประชากร
1. ประเภทของครัวเรือน
ครัวเรือนส่วนบุคคล หมายถึง ครัวเรือนของบุคคลทั่วไป ซึ่งอาจประกอบด้วยบุคคลคนเดียว หรือหลายคน อาศัยอยู่ในบ้านหรือสถานที่อยู่เดียวกัน หรือในบริเวณเดียวกัน จัดหาหรือใช้สิ่งที่อุปโภคบริโภค อันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน โดยบุคคลเหล่านี้อาจเป็นญาติหรือไม่เป็นญาติกันก็ได้
ครัวเรือนกลุ่มบุคคล หมายถึง ครัวเรือนซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลายคน ประเภทเดียวกัน มาอยู่รวมกันโดยมีกฎหรือระเบียบข้อบังคับระบุไว้ให้มาอยู่รวมกัน แบ่งเป็น 2 ประเภท
1) ครัวเรือนประเภทคนงาน หมายถึง คนงานที่อาศัยอยู่รวมกันในบริเวณโรงงานหรือในสถานที่ที่นายจ้างเป็นผู้จัดหาที่พักให้อยู่ร่วมกัน แยกต่างหากจากครัวเรือนนายจ้าง โดยไม่เสียค่าที่พัก
2) ครัวเรือนสถาบัน หมายถึง ครัวเรือนที่อยู่รวมกันอย่างมีกฎระเบียบ เช่น วัด เรือนจำ กรม กอง ทหาร หอพักนักเรียนประจำ หอพักในมหาวิทยาลัย เป็นต้น
2. อายุ หมายถึง อายุเต็มปีบริบูรณ์ นับถึงวันคล้ายวันเกิดครั้งสุดท้าย ก่อนวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553
3. การอ่านออกและเขียนได้ หมายถึง ความสามารถอ่านออกและเขียนภาษาใด ๆ ก็ได้ ในประโยคง่าย ๆ โดยเข้าใจ ความหมาย และสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ รวมทั้งภาษาเบลล์ของคนตาบอดด้วย ถ้าอ่านออกเพียงอย่างเดียวแต่เขียนไม่ได้ ถือว่าเป็นผู้ที่อ่านและเขียนไม่ได้
4. สถานภาพสมรส หมายถึง ความผูกพันระหว่างชายกับหญิงในการเป็นสามีภรรยา ดังนี้
โสด ได้แก่ ผู้ที่ไม่เคยสมรส หรือไม่เคยอยู่ร่วมกับโครฉันสามีภรรยา
สมรส ได้แก่ ผู้ที่อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา ไม่ว่าจะทำการสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าระหว่างไปสัมภาษณ์สามีและภรรยาจะไม่อยู่ด้วยกัน แต่ยังมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา
หม้าย ได้แก่ ผู้ที่คู่สมรสได้ตายไปแล้ว และขณะนี้ยังไม่ได้สมรสใหม่
หย่า ได้แก่ สามีภรรยาที่หย่ากันโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
แยกกันอยู่ ได้แก่ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาแล้ว แต่ยังไม่ได้หย่ากันถูกต้องตามกฎหมาย
เคยสมรสแต่ไม่ทราบสถานภาพ ได้แก่ ผู้ที่เคยสมรสแต่ไม่ทราบว่าสถานภาพใดแน่
5. งาน หมายถึง งานที่ทำเพื่อก่อให้เกิดรายได้หรือเกิดผลผลิต ได้แก่ การทำงานเป็นลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรระหว่างประเทศ การประกอบธุรกิจ อุตสาหกรรม วิชาชีพ และการประกอบการเกษตร
6. อาชีพ หมายถึง ประเภทหรือชนิดของงานที่ผู้นั้นทำอยู่ ซึ่งก่อให้เกิดรายได้หรือเกิดผลผลิต เช่น ครูสอนดนตรี วิศวกรไฟฟ้า สมุห์บัญชี ตำรวจ แพทย์ทั่วไป ทันตแพทย์ พยาบาล นักหนังสือพิมพ์ นักมวย ทำนาข้าว ทำสวนทุเรียน ทำไร่ข้าวโพด รับจ้างกรีดยาง ขับรถแท็กซี่ ขับรถกระบะส่งของ ภารโรง เป็นต้น
7. อาชีพหลัก หมายถึง งานที่ใช้เวลาทำมากที่สุดในรอบ 12 เดือนที่แล้ว ถ้ามีการทำงานเพียง 1 อาชีพให้ถืออาชีพนั้นเป็นอาชีพหลัก
- ถ้ามีการทำงานมากกว่า 1 อาชีพ ให้ถือการทำงานที่ใช้เวลาทำมากที่สุดเป็นอาชีพหลัก
- ถ้าใช้เวลาทำเท่าๆ กัน ให้ถือการทำงานที่ทำรายได้สูงกว่า เป็นอาชีพหลัก
8. ประเภทกิจการหรือลักษณะกิจกรรมของสถานที่ทำงาน หมายถึง ประเภทของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการโดยสถานประกอบการที่บุคคลนั้นกำลังทำงานอยู่ หรือประเภทของธุรกิจซึ่งบุคคลนั้นได้ดำเนินการอยู่ เช่น ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ธนาคารพาณิชย์ โรงพยาบาลสัตว์ โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เป็นต้น
9. สถานภาพการทำงาน หมายถึง สถานะของบุคคลในการทำงานเชิงเศรษฐกิจทุกประเภท ได้แก่
นายจ้าง หมายถึง ผู้ประกอบธุรกิจของตนเอง (อาจมี "หุ้นส่วน" หรือไม่ก็ได้) เพื่อหวังผลกำไรหรือส่วนแบ่ง และได้จ้างบุคคลตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป มาทำงานให้ธุรกิจในฐานะ "ลูกจ้าง" โดยเป็นการจ้างงานบนพื้นฐานของความต่อเนื่อง ไม่รวม ผู้ที่จ้างคนมาทำงานบ้าน ซึ่งไม่เกี่ยวธุรกิจ
ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง หมายถึง ผู้ประกอบธุรกิจของตนเอง (อาจมี "หุ้นส่วน" หรือไม่ก็ได้) เพื่อหวังผลกำไรหรือส่วนแบ่ง และไม่มีการจ้าง "ลูกจ้าง" (ที่เป็นการจ้างงานบนพื้นฐานของความต่อเนื่อง) แต่
อาจมีสมาชิกในครัวเรือนหรือผู้ฝึกงานมาช่วยทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทน ในลักษณะการจ้างทำงาน
ผู้ช่วยธุรกิจในครัวเรือนโดยไม่ได้รับค่าจ้าง หมายถึง ผู้ที่ช่วยทำธุรกิจหรือการเกษตรของสมาชิกในครัวเรือนเป็นประจำ โดยไม่ได้รับค่าจ้าง และไม่ได้อยู่ในฐานะ "หุ้นส่วน" หรืออาจจะได้รับคำตอบแทนบ้าง แต่ไม่ใช่ลักษณะของการจ้างทำงาน
ลูกจ้าง หมายถึง ผู้ที่ทำงานโดยได้รับค่าจ้างที่เป็นการจ้างงานบนพื้นฐานของความต่อเนื่อง ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในการดำเนินทน ค่าจ้างที่ได้รับอาจเป็นรายเดือน รายวัน รายชั่วโมง รายชิ้น หรือเหมาจ่าย ซึ่งอาจจะ
เป็นตัวเงินหรือสิ่งของก็ได้ ลูกจ้างแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ลูกจ้างรัฐบาล ลูกจ้างวิสาหกิจ ลูกจ้างเอกชน
การรวมกลุ่ม หมายถึง กลุ่มคนที่มาร่วมกันทำงานในเชิงเศรษฐกิจ (ผลิตสินค้าและบริการ) โดยสมาชิกแต่ละคนมีส่วนร่วมเทำเทียมกันในการตัดสินใจดำเนินการทุกขั้นตอน ตลอดจนการแบ่งรายได้ให้แก่สมาชิกตามที่ตกลงกัน
10. บุตรที่ให้กำเนิดเองและมีชีวิตอยู่ขณะคลอด (บุตรเกิดรอด) หมายถึง บุตรที่ตอนคลอดออกมามีชีวิต แม้จะมีชีวิตอยู่เพียงขณะหนึ่งก็ตาม ไม่รวม บุตรเลี้ยงหรือบุตรบุญธรรมของหญิงผู้นั้น
บุตรที่มีชีวิตอยู่ ได้แก่ บุตรที่ตอนคลอดออกมามีชีวิต และยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงวันสำมะโน
บุตรที่เสียชีวิตแล้ว ได้แก่ บุตรที่ตอนคลอดออกมามีชีวิต แต่ในวันสำมะโนได้เสียชีวิตไปแล้ว
11. การย้ายถิ่น หมายถึง ผู้ย้ายสถานที่อยู่อาศัยจาก อบต. หนึ่ง หรือเขตเทศบาลหนึ่ง หรือจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยครั้งสุดท้ายมายังอีก อบต. หนึ่งหรือเขตเทศบาลหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ในปัจจุบัน การเปลี่ยนเขตเทศบาล หรือ อบต. อันเนื่องมาจากการขยายเขตเทศบาลหรือเปลี่ยนเขตการปกครอง โดยที่บุคคลหรือครัวเรือนนั้นยังอยู่ประจำที่เดิม และการย้ายสถานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครและย้ายภายใน
เมืองพัทยาไม่นับว่าเป็นการย้ายถิ่น
12. ลักษณะความพิการ หมายถึง ลักษณะความพิการโดยประจักษ์ สามารถจำแนกได้ 6 ประเภท ดังนี้
(1) ความพิการทางการมองเห็น ได้แก่
(1.1) มีแต่เบ้าตา ไม่มีลูกตาทั้งสองข้าง
(1.2) มีลักษณะของความผิดปกติชัดเจน เช่น ลูกตาสีขาวขุ่น ไม่มีลูกตาดำ ลูกตาฝ่อ เป็นต้น
(2) ความพิการทางการได้ยิน หรือสื่อความหมาย ได้แก่
(2.1) มีความผิดปกติในการได้ยินเสียง และพูดไม่ได้ เช่น เป็นใบ้
(2.2) มีความผิดปกติในการสื่อความหมาย และการใช้ภาษาพูด การเข้าใจภาษาพูด เช่น พูดไม่รู้เรื่อง พูดโต้ตอบไม่ตรงความหมาย
(3) ความพิการทางการเคลื่อนไหว หรือทางร่างกาย ได้แก่
(3.1) กลุ่มความพิการทางกาย กรณีแขนขาด ขาขาด
- แขนขาดตั้งแต่ข้อมือขึ้นมา หนึ่งข้าง หรือทั้งสองข้าง
- ขาขาดตั้งแต่ข้อเท้าขึ้นมา หนึ่งข้าง หรือทั้งสองข้าง
(3.2) กลุ่มอัมพาต กล้ามเนื้อแขน ขา อ่อนแรง ขาลีบผิดรูปมีลักษณะการสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว อ่อนแรง ไม่สามารถประกอบกิจวัตรหลักในชีวิตประจำวัน อาจพิจารณาได้จากคนที่นอนตลอดเวลาหรือนั่งอยู่ในรถเข็นตลอดเวลา
(4) ความพิการทางจิตใจ หรือพฤติกรรม หรือออทิสติก ได้แก่
(4.1) กลุ่มที่มีอาการทางจิต
- กลุ่มอาการทางจิตรุนแรง โวยวาย ทำร้ายผู้อื่น ไม่สามารถควบคุมความประพฤติ ไม่สามารถประกอบกิจวัตรหลักในชีวิตประจำวัน หรือช่วยเหลือตนเองได้
- กลุ่มอาการทางจิตที่มีลักษณะอยู่เฉย ๆ ไม่พูดจา ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่สามารถประกอบกิจวัตรหลักในชีวิตประจำวันได้ หรือช่วยเหลือตนเองไม่ได้
(4.2) กลุ่มอาการทางพฤติกรรม เช่น ออทิสติก มีลักษณะอาการไม่อยู่นิ่ง มีพฤติกรรมแตกต่างจากบุคคลทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดเจน
(5) ความพิการทางสติปัญญาหรือการเรียนรู้ ได้แก่ กลุ่มอาการทางสติปัญญาหรือการเรียนรู้ ในกรณีที่สภาพความพิการเห็นได้ว่า มีลักษณะปัญญาอ่อนระดับรุนแรง เช่น ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้น้อย มีพัฒนาการช้ามาก ยังต้องการพี่เลี้ยงช่วยดูแล
ภาคเคหะ
ที่อยู่อาศัยของครัวเรือน หมายถึง สถานที่ที่ครัวเรือนใช้เป็นที่อยู่อาศัย อาจเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน หรือบ้านหลายหลังที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน รวมทั้งพื้นที่สาธารณะที่มีครัวเรือนใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำ
1. ประเภทของที่อยู่อาศัย หมายถึง ลักษณะของสถานที่ที่ครัวเรือนใช้เป็นที่อยู่อาศัยของบุคคลในครัวเรือนเดียวกัน ได้แก่
1) บ้านเดี่ยว
2) ทาวน์เฮ้าส์/บ้านแฝด/ทาวน์โฮม
3) ห้องชุด
4) ตึกแถว/ห้องแถว/เรือนแถว
5) ห้องภายในบ้าน
6) ที่อยู่อาศัยในสำนักงานหรืออาคาร
7) เรือ แพ รถ
8) ที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลประเภทอื่น
2. ลักษณะของที่อยู่อาศัย หมายถึง ที่อยู่อาศัยซึ่งจำแนกได้ตามวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ โดยแยกเป็น 5 ลักษณะ
1) ตึก
2) ไม้
3) ครึ่งตึกครึ่งไม้
4) ใช้วัสดุไม่ถาวรในท้องถิ่น
5) ใช้วัสดุซึ่งใช้ประโยชน์อย่างอื่นมาแล้ว
3. การครอบครองที่อยู่อาศัยของคนในครัวเรือน (ไม่รวมที่ดิน) หมายถึง กรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยของครัวเรือน โดยรวมการเป็นเจ้าของ เช่าซื้อ เช่า หรืออยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เพราะเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างแรงงานหรือเจ้าของให้อยู่เปล่า
4. การถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน หมายถึง คนในครัวเรือนมีกรรมสิทธิ์ในการครอบครองที่ดิน ที่เป็นที่ตั้งของที่อยู่อาศัย โดยการเป็นเจ้าของที่ดิน เช่าซื้อที่ดิน เช่าที่ดิน ไม่เสียค่าเช่าที่ดิน หรืออื่น ๆ
5. การเป็นเจ้าของเครื่องใช้ในครัวเรือน หมายถึง สมาชิกคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของเครื่องใช้ต่าง ๆ และเครื่องใช้ดังกล่าวต้องสามารถใช้งานได้ (ไม่รวมเครื่องใช้ที่มีไว้ขายหรือมีคนเอามาซ่อม) ส่วนเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มีไว้ใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น รถยนต์รับจ้าง ตู้เย็นในร้านขายเครื่องดื่ม ให้ถือว่าเป็นเจ้าของ
ภาคประชากร
1. ครัวเรือน หมายถึง บุคคลคนเดียวหรือหลายคนอาศัยอยู่ในบ้านหรือสถานที่อยู่เดียวกันและจัดหาหรือใช้สิ่งอุปโภค บริโภค อันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน ทั้งนี้ไม่คำนึงถึงว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีความสัมพันธ์ฉันญาติพี่น้องหรือไม่ก็ตาม สถานที่อยู่แห่งหนึ่งหรือบ้านหลังหนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วยครัวเรือนเดียวหรือหลายครัวเรือนก็ได้ หรือครัวเรือนหนึ่ง สมาชิกในครัวเรือนอาจอาศัยอยู่ในบ้านหลายหลัง หรือหลายห้องก็ได้ แต่จะต้องอยู่ในบริเวณเดียวกันหรือเป็นห้องติดต่อกัน
2. ประเภทของครัวเรือน ครัวเรือนแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ครัวเรือนส่วนบุคคล และครัวเรือนกลุ่มบุคคล
(1) ครัวเรือนส่วนบุคคล หมายถึง ครัวเรือนที่ประกอบขึ้นด้วยบุคคลคนเดียวหรือหลายคนอาศัยอยู่ในบ้านหรือที่อยู่อาศัยเดียวกัน และจัดหาหรือใช้สิ่งอุปโภค บริโภค อันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน บุคคลเหล่านี้อาจเป็นญาติหรือไม่เป็นญาติกันก็ได้ สำหรับครัวเรือนที่ไม่ได้เป็นญาติกันจะต้องมีจำนวนสมาชิกไม่เกิน 5 คน
(2) ครัวเรือนกลุ่มบุคคล หมายถึง ครัวเรือนที่ประกอบขึ้นด้วยบุคคลที่มาอยู่รวมกัน เพราะได้มีกฎหรือระเบียบข้อบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งระบุไว้ว่าให้มาอยู่รวมกัน หรือจำเป็นต้องมาอยู่รวมกันเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ครัวเรือนกลุ่มบุคคลจำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ
(2.1) ครัวเรือนสถาบัน หมายถึง ครัวเรือนซึ่งบุคคลหลายคนอยู่รวมกัน โดยมีกฎหรือระเบียบข้อบังคับระบุไว้ให้มาอยู่รวมกัน ได้แก่
- พระสงฆ์ สามเณร และลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ในวัด สำนักสงฆ์
- คนไข้ที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป (ยกเว้นโรงพยาบาลโรคจิต เข้าพักรักษาตัวเมื่อใด ให้นับเป็นสมาชิกครัวเรือนสถาบัน)
- นักเรียนประจำในโรงเรียนกินนอน และครูอาจารย์ซึ่งอยู่ประจำรวมกัน หอพัก นักศึกษาแพทย์ หอพักนักศึกษาพยาบาล
- ผู้รับการสงเคราะห์ในสถานสงเคราะห์ รวมทั้งผู้ดูแลที่ไม่ได้อยู่เป็นสัดส่วนต่างหาก
- นักโทษภายในเรือนจำ หรือทันฑสถาน
- ทหารหรือตำรวจที่อยู่ในค่ายกรมกองทหาร ตำรวจ รวมทั้งนักเรียนทหารตำรวจด้วย
- บุคคลที่มาเช่าประจำหรือมาเช่าชั่วคราวตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปในโรงแรม หรือในเกสต์เฮาส์
- ผู้อยู่ประจำในโรงเจ หรือมาถือศีลชั่วคราวตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นในในโรงเจ
(2.2) ครัวเรือนพิเศษ หมายถึง ครัวเรือนซึ่งบุคคลหลายคนอยู่รวมกันในสถานที่อยู่แห่งหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ได้แก่
- ครัวเรือนพิเศษประเภทหอพัก ได้แก่ บุคคลทั่วไปซึ่งเช่าอาศัยในหอพัก และไม่ได้แยกอยู่เฉพาะครัวเรือน ทั้งนี้ไม่นับรวมหอพักนักเรียนในโรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย โดยหอพัก หมายถึง หอพักที่ให้จดทะเบียนและหอพักที่ไม่ได้จดทะเบียน แต่ขึ้นป้ายให้ทราบว่าเป็นหอพัก
- ครัวเรือนพิเศษประเภทคนงาน ได้แก่ คนงานตั้งแต่ 6 คนขึ้นไป (ไม่นับครอบครัวของเจ้าของ) ที่อยู่อาศัยเป็นประจำในบริเวณที่ทำงาน หรือที่โรงงาน หรือที่สถานประกอบการจัดให้อยู่และไม่ได้แยกอยู่เฉพาะครัวเรือน สำหรับคนงานที่อาศัยอยู่ในสถานที่ที่โรงงาน หรือสถานประกอบการจัดให้อยู่ และได้แยกอยู่เฉพาะครัวเรือน (อาจเป็นห้องหรือบ้านเป็นหลัง) ต่างหากจากคนงานอื่น โดยมีญาติหรือบุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นคนงานอาศัยรวมอยู่ด้วยให้ถือเป็นครัวเรือนส่วนบุคคล
- ครัวเรือนพิเศษประเภทอื่น ๆ ได้แก่ บุคคลที่กินอยู่รวมกันตั้งแต่ 6 คนขึ้นไป โดยบุคคลเหล่านั้นไม่มีความสัมพันธ์ฉันญาติ หรือมีความสัมพันธ์ฉันญาติไม่เกิน 3 คน และทุกคนที่มาอยู่รวมกันต่างก็ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายตามที่ตกลงกัน
ภาคเคหะ
1. ที่อยู่อาศัยของครัวเรือน หมายถึง สถานที่ที่ครัวเรือนหนึ่ง ๆ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย อาจเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน หรือบ้านหลายหลังที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน รวมทั้งใต้สะพานที่มีครัวเรือนใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นประจำ
2. ประเภทของที่อยู่อาศัย หมายถึง ลักษณะของสถานที่ที่ครัวเรือนหนึ่ง ๆ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
3. ลักษณะของที่อยู่อาศัย หมายถึง ที่อยู่อาศัยซึ่งจำแนกได้ตามวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่
ภาคประชากร
1. ครัวเรือน หมายถึง บุคคลคนเดียวหรือหลายคนอาศัยอยู่ในบ้านหรือสถานที่อยู่เดียวกันและจัดหาหรือใช้สิ่งอุปโภค บริโภค อันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน สถานที่อยู่แห่งหนึ่งหรือบ้านหนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วยครัวเรือนเดียวหรือหลายครัวเรือนก็ได้ หรือครัวเรือนหนึ่ง สมาชิกในครัวเรือนอาจอาศัยอยู่ในบ้านหลายหลังหรือหลายห้องก็ได้ แต่จะต้องอยู่ในบริเวณเดียวกันหรือเป็นห้องติดต่อกัน
2. ประเภทของครัวเรือน ครัวเรือนแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ครัวเรือนส่วนบุตคล และครัวเรือนกลุ่มบุคคล
(1) ครัวเรือนส่วนบุคคล หมายถึง ครัวเรือนที่ประกอบขึ้นด้วยบุคคลคนเดียวหรือหลายคนอาศัยอยู่ในบ้านหรือที่อยู่อาศัยเดียวกัน และจัดหาหรือใช้สิ่งอุปโภค บริโภค อันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน บุคคลเหล่านี้อาจเป็นญาติหรือไม่เป็นญาติกันก็ได้ สำหรับครัวเรือนที่ไม่ได้เป็นญาติกันจะต้องมีจำนวนสมาชิกไม่เกิน 5 คน
(2) ครัวเรือนกลุ่มบุคคล หมายถึง ครัวเรือนที่ประกอบขึ้นด้วยบุคคลที่มาอยู่รวมกัน เพราะได้มีกฎหรือระเบียบข้อบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งระบุไว้ว่าให้มาอยู่รวมกัน หรือจำเป็นต้องมาอยู่รวมกันเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ครัวเรือนกลุ่มบุคคลจำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ
(2.1) ครัวเรือนสถาบัน หมายถึง ครัวเรือนซึ่งบุคคลหลายคนอยู่รวมกัน โดยมีกฎหรือระเบียบข้อบังคับระบุไว้ให้มาอยู่รวมกัน ได้แก่
- พระสงฆ์ สามเณร และลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ในวัด สำนักสงฆ์
- คนไข้ที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป (ยกเว้นโรงพยาบาลโรคจิต เข้าพักรักษาตัวเมื่อใด ให้นับเป็นสมาชิกครัวเรือนสถาบัน)
- นักเรียนประจำในโรงเรียนกินนอน และครูอาจารย์ซึ่งอยู่ประจำรวมกัน หอพัก นักศึกษาแพทย์ หอพักนักศึกษาพยาบาล
- ผู้รับการสงเคราะห์ในสถานสงเคราะห์ รวมทั้งผู้ดูแลที่ไม่ได้อยู่เป็นสัดส่วนต่างหาก
- นักโทษภายในเรือนจำ หรือทันฑสถาน
- ทหารประจำการหรือตำรวจ รวมทั้งนักเรียนทหาร ตำรวจ ที่อยู่ในกรมกองทหารหรือตำรวจ
(2.2) ครัวเรือนกลุ่มบุคคลอื่น ๆ หมายถึง ครัวเรือนซึ่งบุคคลหลายคนอยู่รวมกันในสถานที่อยู่แห่งหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ได้แก่
- บุคคลที่มาเช่าประจำหรือมาเช่าชั่วคราวตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ในโรงแรม หรือในเกสต์เฮาส์
- บุคคลทั่วไปซึ่งเช่าอาศัยในหอพัก และไม่ได้แยกอยู่เฉพาะครัวเรือน ทั้งนี้ไม่นับรวมหอพักนักเรียนในโรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย โดยหอพัก หมายถึง หอพักที่ให้จดทะเบียนและหอพักที่ไม่ได้จดทะเบียน แต่ขึ้นป้ายให้ทราบว่าเป็นหอพัก
- คนงานตั้งแต่ 6 คนขึ้นไป (ไม่นับครอบครัวของเจ้าของ) ที่อยู่อาศัยเป็นประจำในบริเวณที่ทำงาน หรือที่โรงทาน หรือที่สถานประกอบการจัดให้อยู่ และไม่ได้แยกอยู่เฉพาะครัวเรือน
- บุคคลซึ่งกินอยู่รวมกันตั้งแต่ 6 คนขึ้นไป โดยบุคคลเหล่านั้นไม่มีความสัมพันธ์ฉันญาติ หรือมีความสัมพันธ์ฉันญาติไม่เกิน 3 คน และทุกคนที่มาอยู่รวมกันต่างก็ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายตามที่ตกลงกัน
ภาคเคหะ
1. ประเภทของที่อยู่อาศัย หมายถึง ลักษณะของสถานที่ที่ครัวเรือนหนึ่ง ๆ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
2. ที่อยู่อาศัยที่ใช้เป็นสถานที่ประกอบธุรกิจ หมายถึง สถานที่อยู่อาศัยของครัวเรือนนั้น นอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้วยังใช้เป็นสถานที่ประกอบธุรกิจเพื่อการค้า อุตสาหกรรมหรือบริการด้วย เช่นร้านขายหนังสือพิมพ์ ร้านตัดผม ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ร้านซ่อมรถจักรยาน ร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม อู่ซ่อมรถยนต์
3. ลักษณะของที่อยู่อาศัย หมายถึง ที่อยู่อาศัยซึ่งจำแนกได้ตามวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่
แบบสอบถามที่ใช้ในการทำสำมะโนประชากรและเคหะ มี 2 แบบ ดังนี้
1. แบบสอบถามออนไลน์สำหรับประชาชน : ประชาชนตอบแบบสอบถามด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ ทาง Application “ทางรัฐ” หรือทางเว็บไซต์สำนักงานสถิติแห่งชาติ
2. แบบสอบถามสำหรับพนักงานเก็บรวบรวมข้อมูล : เจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติจะลงพื้นที่เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากบ้าน อาคาร สิ่งปลูกสร้างในเขตแจงนับที่ตนเองรับผิดชอบ หลังจากประชาชนเข้าตอบแบบสอบถามออนไลน์ภายใน 20 วัน
แบบสอบถามที่ใช้ในการทำสำมะโนประชากรและเคหะมี 2 แบบ ดังนี้
1. สปค.1 (แบบนับจด) ใช้สำหรับการสัมภาษณ์ครัวเรือนทุกประเภท โดยแสดงที่ตั้งของครัวเรือน ประเภทของครัวเรือนและที่อยู่อาศัย จำนวนสมาชิกในแต่ละครัวเรือน
2. สปค.2 (แบบแจงนับ) ใช้สัมภาษณ์ประชากรทุกคนในครัวเรือน
3. แบบ สปค.2/1 (แบบแจงนับพิเศษ) ใช้ในการให้ครัวเรือนกรอกข้อมูลด้วยตนเอง
แบบรายงานอื่น ๆ
1. แบบ สปค.1/1 (แบบสรุปยอดรวมจากแบบสปค.1) ใช้ตรวจสอบความถูกต้องเบื้องต้นของข้อมูลในพื้นพื้นที่เป็นรายเขตการปกครองของตำบลหรือแขวง
2. แบบ สปค.3 (แบบคุมจำนวนบ้าน/ครัวเรือนที่ต้องการกรอกแบบสอบถามด้วยตนเอง/ตอบทางอินเทอร์เน็ต/โทรศัพท์) ใช้บันทึกเฉพาะครัวเรือนที่ไม่สะดวกในการให้สัมภาษณ์ เลือกวิธีการให้ข้อมูลด้วยตนเอง เช่น กรอกแบบสอบถามเอง ให้ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ เป็นต้น
3. แบบ สปค.4 (แบบรายงานผลการตรวจงานของเจ้าหน้าที่วิชาการ) ใช้รายงานผลการปฏิบัติงานของพนักงานแจงนับทุกคน เพื่อทราบถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานพร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้แก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคเหล่านั้นได้ทัน
แบบสอบถามที่ใช้ในการทำสำมะโนประชากรและเคหะมี 2 แบบ ดังนี้
1. สปค.1 (แบบนับจด) เป็นแบบที่แสดงที่ตั้งของครัวเรือน ประเภทของครัวเรือน จำนวนสมาชิกในแต่ละครัวเรือน จำนวนครัวเรือนที่มีสมาชิกในครัวเรือนทำการเกษตร ทำการประมงน้ำจืด และทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด
2. สปค.2 (แบบแจงนับ) เป็นแบบที่ใช้บันทึกเฉพาะข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลรายละเอียดของประชากรเป็นรายบุคคล และบันทึกข้อมูลเคหะเป็นรายครัวเรือน
แบบรายงานอื่น ๆ
1. สปค.3 (แบบมอบงาน ส่งงาน) เป็นแบบที่ใช้มอบงาน ส่งงาน นับจดและแจงนับเป็นรายเขตสำมะโน
2. สปค.4 (แบบนัดสัมภาษณ์) เป็นแบบที่ใช้นัดหมายกับหัวหน้าครัวเรือนหรือคนในบ้าน ซึ่งพนักงานแจงนับไปแล้วไม่พบ หรือสัมภาษณ์รายละเอียดต่าง ๆ ไม่ได้ พนักงานแจงนับต้องนัดหมายวัน เวลา ที่จะไปสัมภาษณ์ใหม่
3. สปค.5 (ซองบรรจุแบบ) ใช้บรรจุแบบสำมะโนต่าง ๆ ที่บันทึกข้อมูลแล้วเป็นรายชุมชน อาคาร/หมู่บ้าน
4. สปค.6 (แบบรายงานผลการปฏิบัติงาน) เป็นแบบที่เจ้าหน้าที่วิชาการใช้รายงานผลการปฏิบัติงานของพนักงานแจงนับทุกคนที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ข้าราชการประจำจังหวัด/กทม. ทราบตามคาบเวลาที่กำหนด
5. สปค.7 (แบบรายงานผลเบื้องต้น) เป็นแบบที่ใช้รวมยอด จำนวนบ้านว่าง จำนวนครัวเรือนส่วนบุคคล จำนวนครัวเรือนพิเศษ จำนวนครัวเรือนสถาบัน จำนวนประชากร จำนวนครัวเรือนเกษตร จำนวนครัวเรือนประมงน้ำจืด จำนวนครัวเรือนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และจำนวนบ้านอาคารหรือครัวเรือนที่นับจดไม่ได้
แบบสอบถามที่ใช้ในการทำสำมะโนประชากรและเคหะมี 3 แบบ ดังนี้
1. สปค.1 (แบบนับจด) เป็นแบบที่แสดงที่ตั้งของครัวเรือน ประเภทของครัวเรือน จำนวนสมาชิกในแต่ละครัวเรือน ลักษณะการอยู่อาศัยของสมาชิกในครัวเรือน
2. สปค.2ส (แบบแจงนับพื้นฐาน) เป็นแบบที่ใช้บันทึกเฉพาะข้อถามพื้นฐานของประชากรเป็นรายบุคคล มีจำนวน 11 ข้อถาม
3. สปค.2 (แบบแจงนับรายละเอียด) เป็นแบบที่ใช้บันทึกข้อคามรายละเอียดของประชากรเป็นรายบุคคล และข้อถามเคหะเป็นรายครัวเรือน โดยมีข้อถามประชากร 27 ข้อถาม และข้อถามเคหะ 16 ข้อถาม
และข้อมูลรายละเอียดของประชากรเป็นรายบุคคล และบันทึกข้อมูลเคหะเป็นรายครัวเรือน
แบบรายงานอื่น ๆ
1. สปค.3 (แบบมอบงาน ส่งงาน) เป็นแบบที่ใช้มอบงาน ส่งงาน นับจดและแจงนับเป็นรายเขตสำมะโน
2. สปค.4 (แบบนัดสัมภาษณ์) เป็นแบบที่ใช้นัดหมายกับหัวหน้าครัวเรือนหรือคนในบ้าน ซึ่งพนักงานแจงนับไปแล้วไม่พบ หรือสัมภาษณ์รายละเอียดต่าง ๆ ไม่ได้ พนักงานแจงนับต้องนัดหมายวัน เวลา ที่จะไปสัมภาษณ์ใหม่
3. สปค.5 (ซองบรรจุแบบ) ใช้บรรจุแบบสำมะโนต่าง ๆ ที่บันทึกข้อมูลแล้วเป็นรายชุมชน อาคาร/หมู่บ้าน
4. สปค.6 (แบบรายงานผลการปฏิบัติงาน) เป็นแบบที่เจ้าหน้าที่วิชาการใช้รายงานผลการปฏิบัติงานของพนักงานแจงนับทุกคนที่อยู่ในความรับผิดชอบ ให้เจ้าหน้าที่สถิติจังหวัด/หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการฯ ทราบตามคาบเวลาที่กำหนด
5. สปค.7 (แบบรายงานผลเบื้องต้น) เป็นแบบที่ใช้รวมยอด จำนวนที่อยู่อาศัย จำนวนประชากร จำนวนครัวเรือน จำนวนบ้านว่าง บ้านที่นับจดไม่ได้ ครัวเรือนที่นับจดไม่ได้ และครัวเรือนที่แจงนับไม่ได้
ดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศ โดยกำหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้
- ประชาชนตอบแบบสอบด้วยตนเอง วันที่ 1 – 20 เมษายน 2568
- เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อจัดเก็บข้อมูล วันที่ 21 เมษายน – 19 มิถุนายน 2568
ดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศระหว่างวันที่ 1 กันยายน – 31 ตุลาคม 2553 โดยกำหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ 4 วิธี ดังนี้
1. การสัมภาษณ์โดยพนักงานสนาม เป็นวิธีหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการทำสำมะโนประชากรและเคหะครั้งนี้ หมายถึง การส่งพนักงานสนามออกไปสอบถามข้อมูลแต่ละครัวเรือนตามที่อยู่อาศัยจริง
2. การทอดแบบ เป็นวิธีที่ผู้ให้ข้อมูลต้องการบันทึกข้อมูลด้วยตนเอง โดยพนักงานสนามมอบแบบสอบถาม พร้อมของบรรจุแบบให้กับผู้ให้ข้อมูล แล้วนัดหมายมารับ หรือ ส่งคืนทางไปรษณีย์โดยไม่ต้องเสียค่าส่ง
3. การให้ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต เป็นวิธีที่ผู้ให้ข้อมูลต้องการบันทึกข้อมูลด้วยตนเองในระบบอินเทอร์เน็ต (Internet)
4. การให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ เป็นวิธีที่ผู้ให้ข้อมูลต้องการให้ข้อมูลโดยการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Telephone Interview Center : TIC)
ดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศระหว่าง วันที่ 1 – 30 เมษายน 2543 โดยส่งพนักงานแจงนับออกไปสัมภาษณ์ประชากรทุกคนในทุกครัวเรือนทั่วประเทศ และบันทึกรายการข้อมูลตามที่กำหนดไว้ในแบบสอบถาม
ดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศระหว่าง วันที่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2533
สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ สำหรับเผยแพร่เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการจัดทำ สำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมใจให้ข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะครั้งแรกในรูปแบบดิจิทัล ตั้งแต่ 1 เมษายน 2568
รายงานผลข้อมูล
สถิติประชากร
สมบูรณ์
การสำรวจโดยการแจงนับจากทุกหน่วยที่เกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554) ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลของสิ่งที่สนใจทั้งหมดทั่วประเทศ เช่น คน ที่อยู่อาศัย การเกษตร การทำประมง ธุรกิจการค้า
แม้ว่าปัจจุบันจะมีข้อมูลจำนวนประชากรจากทะเบียนราษฎร แต่สำมะโนประชากรและเคหะ ยังคงมีความจำเป็น เนื่องจาก:
1️. ข้อมูลจากทะเบียนราษฎรอาจไม่สะท้อนการกระจายตัวของประชากรที่แท้จริง
* ประชากรบางส่วนไม่ได้อยู่อาศัยในที่อยู่ที่ระบุไว้ในทะเบียนราษฎร เช่น นักเรียน คนทำงานที่ย้ายถิ่น หรือแรงงานข้ามจังหวัด
* สำมะโนช่วยให้เห็นภาพรวมที่แท้จริงของการกระจายตัวประชากร และสามารถใช้ในการวางแผนบริการสาธารณะในแต่ละพื้นที่
2️. การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต้องอาศัยข้อมูลประชากรที่ถูกต้อง ณ สถานที่อยู่อาศัยจริง
* ข้อมูลสำมะโนให้รายละเอียดเกี่ยวกับ โครงสร้างอายุ การศึกษา และที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายสาธารณะ
* ภาครัฐสามารถใช้ข้อมูลเพื่อ วางแผนจัดสรรงบประมาณและทรัพยากร ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่
3️. มาตรฐานสากลแนะนำให้ทุกประเทศทำสำมะโนทุก 10 ปี
* องค์การสหประชาชาติ (UN) แนะนำให้ประเทศต่าง ๆ จัดทำสำมะโนประชากรและเคหะทุก 10 ปี โดยเฉพาะในปีที่ลงท้ายด้วย "0" เช่น ปี 2000, 2010, 2020
* เพื่อให้สามารถ เปรียบเทียบข้อมูลประชากรระหว่างประเทศ และใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเชิงนโยบายทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
สำมะโนประชากรและเคหะเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานที่ช่วยให้รัฐบาลสามารถวางแผนพัฒนาประเทศได้อย่างแม่นยำ ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร และ สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคม ซึ่งทะเบียนราษฎรเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถตอบโจทย์นี้ได้ทั้งหมด
* ปี พ.ศ. 2448 ประเทศไทยเริ่มต้นการนับจำนวนประชากรครั้งแรกในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 การเก็บข้อมูลในครั้งนั้นเรียกว่า “บัญชีพลเมือง”
* ปี พ.ศ. 2452 กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรในรูปแบบของ สำมะโนประชากร การสำรวจในช่วงแรกเรียกว่า “สำมะโนครัว”
* ปี พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เริ่มดำเนินการเก็บข้อมูลจำนวนและจัดทำทุก 10 ปี เรียกว่า “สำมะโนประชากร” ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 ได้จัดทำ “สำมะโนเคหะ” ควบคู่ด้วย จึงเรียกว่า สำมะโนประชากรและเคหะ
* ข้อมูลประชากรจากทะเบียนราษฎร แสดงจำนวนประชากรไทยและไม่ใช่สัญชาติไทยที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน และทะเบียนบ้านกลาง ซึ่งประชากรที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอาจไม่ได้อาศัยอยู่จริง ณ ช่วงเวลานั้น
* ข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะแสดงจำนวนประชากรไทยและไม่ใช่สัญชาติไทยที่มีชื่อและไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ซึ่งอาศัยตามที่อยู่จริง ณ ช่วงเวลานั้น
ในปี พ.ศ. 2568 สำนักงานสถิติแห่งชาติกำหนดวันสำมะโนประชากรและเคหะ คือวันที่ 1 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นเสมือนการฉายภาพนิ่ง ณ วันสำมะโน (วันที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นเวลาอ้างอิง) เพื่อแสดงภาพว่า ณ วันสำมะโน ประเทศไทยมีประชากรเท่าใด อยู่ที่จังหวัด/อำเภอ/ตำบลใด เป็นชาย/หญิง เด็ก/คนทำงาน/คนแก่ คนพิการเท่าใด มีการศึกษาระดับไหน มีผู้รู้หนังสือมากน้อยเพียงใด คนในวัยทำงานมีงานทำหรือไม่ ที่ใดมีผู้ย้ายถิ่นเข้า/ออก เป็นต้น