พฤติกรรมการเป็
นหนี้
ของครั
วเรือนเกษตร พ.ศ.2554
และจากการศึกษาของ เยาวเรศ ทั
บพั
นธุ
์ และสมนึก ทั
บพั
นธุ
์ (2541) พบว่า ครั
วเรือนที่
มี
จำ
�นวนสมาชิกมากจะมีการบริโภคมากขึ้นตามไปด้วย การออมของครั
วเรือนก็
จะน้อยลงมีการ
เป็
นหนี้มากขึ้น ทั
้งนี้เพื่
อนำ
�เงินในอนาคตมาใช้จ่าย ซึ่
งการที่
มีอั
ตราการเป็
นภาระในครั
วเรือน
สู
งนั
้นจะเป็
นตั
วที่
ลดโอกาสของครั
วเรือนในการกู
้เงินในระบบ และจากการศึกษาของ ธั
นยชนก
ปะวะละ (2551) พบว่า อาชีพหลั
กของครั
วเรือนมีความสั
มพั
นธ์ต่อการออมในเชิงบวก นอกจาก
นี้ วลิตา อุ
ไรรางกู
ล (2548) ยั
งพบว่า ครั
วเรือนที่
มีจำ
�นวนสมาชิกในครั
วเรือนที่
กำ
�ลั
งศึกษามาก
ขึ้น จะมีอั
ตราส่วนการออมต่อรายได้ลดลง นั่
นแสดงได้ว่าอาจมีการเป็
นหนี้เพิ่
มขึ้น
3) ปั
จจั
ยด้
านภู
มิศาสตร์
นอกจากปั
จจั
ยทางด้านเศรษฐกิจและสั
งคมที่
กล่าว
มาแล้วนั
้นยั
งมีปั
จจั
ยทางด้านพื้นที่
ที่
มีผลต่อการกำ
�หนดการ
เป็
นหนี้หรือไม่เป็
นหนี้ของครั
วเรือน ซึ่
งจะเห็
นได้จากผลการ
ศึกษาของ ยรรยง ไทยเจริญ และคณะ (2547) กล่าวคือ
ครั
วเรือนในภาคกลาง ภาคตะวั
นออกเฉียงเหนือ และภาคใต้
มีความต้องการกู
้เงินมากกว่าครั
วเรือนในกรุ
งเทพมหานคร
อย่างมีนั
ยสำ
�คั
ญทางสถิติ นอกจากนี้สำ
�นั
กงานเศรษฐกิจ
การเกษตร (2549) ได้ทำ
�การศึกษาเฉพาะครั
วเรือนที่
ยากจน พบว่า ภาคตะวั
นออกเฉียงเหนือเป็
นภาคที่
มีครั
ว
เรือนมีหนี้สินสู
งที่
สุ
ดคือประมาณร้อยละ 76 ของครั
วเรือน
ยากจนในภาค ส่วนภาคใต้เป็
นภาคที่
มีมู
ลค่าหนี้สินเฉลี่
ยต่อ
ครั
วเรือนสู
งที่
สุ
ดเฉลี่
ยประมาณ 55,337 บาทต่อครั
วเรือน
19